พัดลมระบายอากาศมีกี่แบบ?

พัดลมระบายอากาศมีกี่แบบ? เลือกใช้ให้เหมาะกับบ้านและโรงงาน

ประเภทของพัดลมระบายอากาศที่นิยมใช้และข้อดีแต่ละแบบ

อากาศในอาคารและโรงงานเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากไม่มีการระบายอากาศที่ดี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงาน และยังทำให้เกิดความอับชื้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือแม้แต่ส่งผลกระทบต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานได้ พัดลมระบายอากาศจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ก่อนที่จะเลือกซื้อหรือติดตั้ง เราควรทำความเข้าใจก่อนว่าพัดลมระบายอากาศมีกี่แบบ และแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานประเภทไหนบ้าง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่ากับการลงทุน

พัดลมระบายอากาศแบ่งตามโครงสร้างและหลักการทำงาน

พัดลมระบายอากาศมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีหลักการทำงานและโครงสร้างที่แตกต่างกัน เราจะแบ่งพัดลมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

1.1 พัดลมแบบ Axial Flow (แบบใบพัดตรง)

พัดลมประเภทนี้มีลักษณะใบพัดคล้ายกับพัดลมบ้านทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันดี ใบพัดจะหมุนไปตามแกน (Axial) เพื่อดูดและเป่าอากาศไปในทิศทางเดียวกัน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการระบายอากาศในพื้นที่กว้างๆ ที่มีแรงต้านอากาศไม่มากนัก

  • พัดลมติดผนัง (Wall Mount Axial Fan): เป็นแบบที่นิยมใช้กันทั่วไปในอาคารบ้านเรือน ร้านอาหาร หรือโรงงานขนาดเล็ก ใช้ติดตั้งบนผนังเพื่อดูดอากาศเสียออกสู่ภายนอก หรือเป่าอากาศดีเข้าสู่ภายใน
  • พัดลมท่อ (Duct Fan): มีลักษณะเป็นพัดลมแบบ Axial Flow (พัดลมถังกลม)ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งในท่อระบายอากาศ (Duct) โดยเฉพาะ เพื่อช่วยเพิ่มแรงดันอากาศและส่งอากาศไปตามท่อได้ไกลขึ้น นิยมใช้ในระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศของอาคารขนาดใหญ่
  • พัดลมหลังคา (Roof Fan): ใช้ติดตั้งบนหลังคาอาคารหรือโรงงาน เพื่อดูดอากาศร้อนที่ลอยขึ้นสู่ด้านบนออกสู่ภายนอกโดยตรง ช่วยให้ภายในอาคารเย็นลงอย่างรวดเร็ว

1.2 พัดลมแบบ Centrifugal (แบบใบพัดเหวี่ยง)

พัดลมประเภทนี้มีลักษณะการทำงานที่แตกต่างออกไป โดยใบพัดจะหมุนเหวี่ยงอากาศออกสู่ด้านข้าง (Centrifugal) เพื่อสร้างแรงดันอากาศที่สูงขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการระบายอากาศในพื้นที่ที่มีแรงต้านอากาศสูง เช่น การต่อท่อระบายอากาศที่ยาวและคดเคี้ยว หรือการดูดอากาศที่มีฝุ่นละอองจำนวนมาก

  • พัดลมแบบกรงกระรอก (Squirrel Cage Fan): เป็นแบบที่พบได้บ่อยในระบบปรับอากาศและระบบดูดควัน มีลักษณะใบพัดเป็นแบบกรงกระรอกที่ช่วยให้สร้างแรงดันอากาศได้ดี
  • พัดลมแบบ Radial Blade Fan: มีใบพัดที่ตรงและโค้งไปด้านหลัง ใช้สำหรับงานหนักที่ต้องดูดอากาศที่มีฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่มาก เช่น ในโรงงานไม้ โรงงานผลิตแป้ง หรือโรงงานปูนซีเมนต์
  • พัดลมแบบ Forward Curved Fan: มีใบพัดที่โค้งไปด้านหน้า เหมาะสำหรับงานที่ต้องการปริมาณลมมากแต่ใช้แรงดันไม่สูงมากนัก นิยมใช้ในระบบระบายอากาศทั่วไป

การเลือกพัดลมระบายอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งาน

การเลือกพัดลมระบายอากาศที่ถูกต้องจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ประหยัดพลังงาน และยืดอายุการใช้งานของพัดลมได้ยาวนานขึ้น

การเลือกใช้สำหรับบ้านพักอาศัย

สำหรับบ้านพักอาศัย การระบายอากาศส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ห้องครัวและห้องน้ำ เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และความชื้นสะสม

  • พัดลมดูดอากาศติดผนัง: เหมาะสำหรับห้องน้ำและห้องครัวทั่วไป เลือกขนาดให้เหมาะสมกับพื้นที่และปริมาตรห้อง เพื่อให้สามารถระบายอากาศได้หมดจด
  • พัดลมติดเพดาน (Ceiling Fan): เหมาะสำหรับใช้ในห้องน้ำที่ต้องการซ่อนตัวพัดลมจากสายตา มีการติดตั้งที่ซับซ้อนกว่า แต่ให้ความสวยงาม
  • พัดลมระบายอากาศแบบต่อท่อ: เหมาะสำหรับห้องน้ำหรือห้องครัวที่ต้องการระบายอากาศออกไปในระยะไกล เช่น ระบายออกทางหลังคา หรือออกไปนอกตัวอาคาร

การเลือกใช้สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

การเลือกพัดลมระบายอากาศสำหรับโรงงานต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประเภทของโรงงาน ปริมาณลมที่ต้องการ แรงดันอากาศ และสิ่งปนเปื้อนในอากาศ

  • โรงงานทั่วไป (โกดัง, อาคารผลิต): สามารถใช้ พัดลมแบบ Axial Fan ติดผนังหรือพัดลมหลังคา เพื่อดูดอากาศร้อนออกจากตัวอาคารได้ดี
  • โรงงานที่มีการใช้สารเคมี (ห้องพ่นสี, ห้องปฏิบัติการ): ควรเลือกใช้พัดลมที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อสารเคมี และมีระบบปิดที่แน่นหนา เพื่อป้องกันการรั่วซึมของสารเคมี
  • โรงงานที่มีฝุ่นละอองมาก (โรงเลื่อย, โรงงานปูน): ควรเลือกใช้ พัดลมแบบ Centrifugal ที่สามารถสร้างแรงดันอากาศสูงและทนทานต่อฝุ่นได้ดี เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นในตัวพัดลม

ปัจจัยสำคัญในการเลือกพัดลมระบายอากาศ

นอกจากประเภทของพัดลมแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้ได้พัดลมที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง

  • ปริมาณลม (Air Volume): หน่วยเป็น CFM (Cubic Feet per Minute) หรือ CMH (Cubic Meters per Hour) เป็นตัวเลขที่บอกว่าพัดลมสามารถระบายอากาศได้มากน้อยแค่ไหน ควรคำนวณจากขนาดพื้นที่และประเภทการใช้งาน
  • แรงดันอากาศ (Static Pressure): หน่วยเป็น Pa (Pascal) หรือ mmH2O (millimetres of water) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถของพัดลมในการเอาชนะแรงต้านอากาศ ยิ่งแรงดันสูง พัดลมยิ่งสามารถส่งอากาศไปได้ไกลขึ้น
  • ระดับเสียง (Noise Level): หน่วยเป็น dB (Decibel) ควรเลือกระดับเสียงที่เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการความเงียบสงบ เช่น บ้านพักอาศัยหรือสำนักงาน
  • กำลังไฟฟ้า (Power Consumption): ยิ่งกำลังไฟฟ้าสูง พัดลมก็จะยิ่งกินไฟมาก ควรเลือกพัดลมที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
  • วัสดุที่ใช้ผลิต: ควรเลือกวัสดุที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน เช่น พลาสติก ABS สำหรับงานทั่วไป หรือโลหะเคลือบพิเศษสำหรับงานอุตสาหกรรมหนัก

ระบบระบายอากาศในโรงงานแบบครบวงจร

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ระบบระบายอากาศ ที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วยหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่

  • พัดลมดูดอากาศ (Exhaust Fan): ทำหน้าที่ดูดอากาศเสียและอากาศร้อนออกนอกอาคาร
  • ช่องลมเข้า (Air Inlet): เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อากาศใหม่จากภายนอกไหลเข้าสู่ภายในอาคารเพื่อแทนที่อากาศที่ถูกดูดออกไป
  • ท่อระบายอากาศ (Ducting System): ใช้สำหรับลำเลียงอากาศจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือระบายอากาศออกจากพื้นที่เฉพาะจุด
  • ระบบควบคุม (Control System): ช่วยให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบระบายอากาศได้อย่างอัตโนมัติ เช่น การตั้งเวลาเปิด-ปิด หรือการปรับความเร็วรอบของพัดลม

การออกแบบและติดตั้งระบบระบายอากาศแบบครบวงจรต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ความต้องการของโรงงานได้อย่างแท้จริง

คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับพัดลมระบายอากาศ

Q1: ควรติดตั้งพัดลมระบายอากาศกี่ตัว?

A: จำนวนพัดลมที่ต้องติดตั้งขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และปริมาณลมที่ต้องการระบายออก ควรให้ผู้เชี่ยวชาญคำนวณปริมาตรอากาศที่ต้องการระบาย (Air Change Rate) เพื่อให้ได้จำนวนที่เหมาะสม

Q2: จำเป็นต้องเปิดพัดลมระบายอากาศตลอดเวลาหรือไม่?

A: ไม่จำเป็นต้องเปิดตลอดเวลา สามารถเปิดเฉพาะช่วงที่มีการใช้งาน หรือเปิดเมื่ออากาศภายในห้องเริ่มอับชื้นหรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

Q3: พัดลมระบายอากาศประหยัดไฟหรือไม่?

A: พัดลมระบายอากาศส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่มากนัก แต่การเลือกพัดลมที่มีฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้

Q4: อายุการใช้งานของพัดลมระบายอากาศเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่?

A: อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุและสภาพการใช้งาน หากมีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 5-10 ปี หรือนานกว่านั้น

Q5: ถ้าไม่ติดตั้งพัดลมระบายอากาศจะเกิดอะไรขึ้น?

A: หากไม่มีการระบายอากาศที่ดี อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของความร้อน ความชื้น กลิ่นอับ และสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงานในพื้นที่นั้นๆ

 

Sapa Engineer ผู้นำด้านระบบระบายอากาศและงานวิศวกรรม

การเลือกและติดตั้ง พัดลมระบายอากาศ ที่เหมาะสมกับการใช้งานไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญในการออกแบบและติดตั้งระบบ

ที่ Sapa Engineer เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรมและการติดตั้งระบบระบายอากาศทุกรูปแบบ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งและบำรุงรักษา ไม่ว่าจะเป็นพัดลมระบายอากาศสำหรับบ้านพักอาศัย พัดลมโรงงาน หรือระบบระบายอากาศแบบครบวงจรสำหรับอาคารและโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เราพร้อมที่จะให้บริการด้วยทีมงานวิศวกรและช่างผู้ชำนาญการ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าระบบระบายอากาศที่คุณเลือกใช้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และคุ้มค่ากับการลงทุน

หากคุณกำลังมองหาพัดลมระบายอากาศคุณภาพดี หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบระบายอากาศและงานวิศวกรรม สามารถติดต่อเราได้ที่เว็บไซต์หรือช่องทางต่างๆ ของ Sapa Engineer เรายินดีให้คำปรึกษาและให้บริการด้วยความจริงใจ


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พัดลมระบายอากาศ

ติดต่อ บริษัท ซาป๊ะ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
เลขที่ 27/18 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12150

โทรศัพท์ 0-2101-3846-7, 0-2101-3605 
สายด่วน 095-958-2310, 085-482-2861-2
Email: sapaengineer2@gmail.com, salesapa2@gmail.com, salesapa5@gmail.com